ไอ้เดชชอบอีสา (ตอนที่ 2)
เกลียว ฟางกรอบ
"ไอ้เลาะห์ โครงการของมึงหมดแล้วหรือไง ถึงได้กลับมายุ่งอยู่กับเรื่องจัญไรนี้อีก”ไอ้เดชถามเลาะห์ หรืออับดุลเลาะห์ เพื่อนของมัน หลังจากที่ถือวิสาสะเข้าไปในที่อยู่อาศัยของเพื่อนโดยไม่ต้องรอให้อนุญาและเชื้อเชิญ
เลาะห์กำลังสาละวนอยู่กับการสูบกัญชาแห้ง ซึ่งมันได้มาแบบไม่สำเร็จรูป ได้ยินเสียงมีดกระทบเขียงเสียงดังป๊อก ป๊อก อยู่อย่างไม่สบอารมณ์
เลาะห์ทำเป็นหูตึงไม่ตอบคำถาม แต่กลับไปขอความอนุเคราะห์จากผู้มาเยือน
“ไอ้เดช ขอยืมมีดปาดตาลเดี๋ยวซิ กูจะสับไอ้นี่หน่อย” ว่าพลางยื่นมือไป หวังว่าไอ้เดชเพื่อนเกลอของมันจะสนองตอบความประสงค์ ได้เดชขยับตัวหนีไปนั่งชิดฝั่งฝากระท่อม
“กูไม่ให้หรอก มึงจะเอาไปหั่นพืชนรกนั่น จะเป็นเสนียดจัญไรกับมีดกู ทำมาหากินไม่คล่อง” จากท่านั่งยองๆ เลาะห์กระแทกก้นลงบนฝากระท่อม ใช้ปลายเท้า เตะขันน้ำที่วางใกล้ๆ ให้กระเด็นตกไปอย่างฮึดฮัดขัดใจ ค่อยจะตะเบ็งเสียงใส่เพื่อน
“อ้าว.. แล้วมึงมาหากูทำอะไรวะไอ้เวรเดช ตอนที่มึงเข้ามากูนึกว่าเป็นบังกิมกับไอ้ปานเสียอีก สองคนนั้นไปหา “เนื้อ” ตั้งแต่เช้า จนป่านนี้ยังไม่เห็นโผล่หัวมาเลย”
“เนื้อ” ที่เลาะห์พูดถึง คือกัญชาแท่งที่มีสนนราคาซื้อขายกันแท่งละ 50-100 บาท เมื่อใดที่ไม่มี “เนื้อ” ที่มันหมายถึง เลาะห์ก็จะใช้กัญชาบ้านแก้ขัดไปก่อน แต่ก็นั่นแหละ แสบคอเสียจนแทบจะกระอัก
เลาะห์ท่าทางโมโห หันกลับไปจัดการกับกัญชาที่มันหั่นไว้ยัดเข้าบ้องไม้ไผ่ เริ่มปฏิบัติการเตรียมเดินทางไปนรก
“ไอ้เลาะห์!” เสียงไอ้เดชดังขึ้น
“ที่กูมานี่ก็เพื่อจะมาถามมึงว่า เรื่องเขาจะอบรมที่ อ.บ.ต.อาทิตย์หน้านี้ มึงจะไปไหม ปลัดเขาให้กูหาคนให้ครบ 25 คน เพื่อให้เข้าอบรม ถ้ามึงไปกูจะได้ใส่ชื่อมึงด้วย”
คราวนี้เลาะห์หันหน้ามาจ้องเพื่อนเกลอ หรี่ตาเล็กน้อย
“เออๆ ไอ้เดชใส่ซิ ใส่ชื่อกูด้วย” เลาะห์ละล่ำละลักพูด
“แต่เขาจะให้เบี้ยเลี้ยงหรือเปล่า...” เลาะห์ปรารถเป็นคำถาม
“เลาะห์ มึงอย่าละโมบให้มันมากเรื่องจะได้ไหม” ไอ้เดชว่า
“มึงก็รู้ๆ อยู่ เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้งบประมาณมันไม่ค่อยจะมีอบรมทีไรอย่าว่าแต่เบี้ยเลี้ยงเลย ข้าวเที่ยงนะเขาก็ประหยัดกันจนเกือบจะให้เรากินข้าวเปล่ากับปลาหลังเขียวแห้งกันคนละตัวอยู่แล้ว” ไอ้เดชตอบแบบรำคาญๆ และอึดอัดใจ
เลาะห์หน้าตึง เบือนหน้าหนี หันสีข้างให้เพื่อนเกลอ เสียงพูดของมันให้คำตอบตกลงยังไม่ได้ มันหันไปจุดไฟในบ้องกัญชากลิ่นฉุนกึก กระทบจมูกไอ้เดช ควันกัญชาโขมงโชยฉุย เลาะห์ใช้สองมืองประคองบ้องประกบปากเข้าตรงรูไม้ไผ่อัดควันยาวๆ เข้าปอด นัยน์ตาแดงเยิ้ม...ปรีมปรือ..
“มันกำลังจะไปนรก” ไอ้เดชรำพึง นั่งชันเข่าหลังพิงฝาสองมือประสานกันแน่น เล็บจิกลงไปบนหลังมือของแต่ละข้างจนรู้สึกเจ็บ สมเพชเพื่อนสุดกำลัง กรามของมันกัดกดกันจนเสียงดัง กรอด กรอด
“เมื่อไรมึงจะเลิกไปนรกเสียทีวะเลาะห์ มึงไม่รู้หรือว่ามันบาป” ไอ้เดชเตือนสติเพื่อน
“ใครบอกว่ากูจะไปนรก กูกำลังจะไปสวรรค์ต่างหาก” เลาะห์ตอบได้
“มึงไม่สนใจก็อย่ามารังควาญกู มึงไปให้พ้นจะดีกว่า ไม่งั้นกูถีบตกน้ำแน่” ขยับตังตั้งท่าจะถีบจริงๆ เสียดายไอ้เดชส่ายหน้าอย่างระอาใจ ลุกขึ้นยืนขยับกางเกงชาวเล สีกรมท่า ตัวเก่าเกรอะของมันให้แน่นกระชับ คลำดูมีดปาดตาลตรงสะเอวนิดหนึ่ง แล้วรั้งผ้าข้าวม้าลายตาหมากรุกสีแดงหม่นที่กำลังโพกหัวอยู่ลงมาคล้องคอ ซับเหงื่อเม็ดโตๆ ที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก เดินคอตกลงไปจากกระท่อม ไม่ใช่เพราะกลัวโดนถีบ แต่รู้สึกสังเวชใจที่ไม่สามารถจะช่วยเหลือเพื่อนได้
เลาะห์เป็นลูกของคนมีกะตังค์ในหมู่บ้านปะค้อง เลาะห์เป็นข้าราชการมีเงินเดือน มะของมันเป็นคนสวย นิสัยดี มีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า แต่ไม่รู้เพราะอะไร ปะของเลาะห์จึงทิ้งครอบครัวไปมีเมียใหม่
วันที่เลาะห์รับปริญญาแล้ว เลาะห์ไม่กลับบ้าน มันอาศัยอยู่กับเพื่อนๆ ที่กรุงเทพฯ เสียนาน เพิ่งจะกลับมาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เห็นว่าได้รับงานอาสามา มีเงินเดือนร่วม 5,000-6,000 บาท มันระเหเร่ร่อน ไม่ยอมเข้าบ้านเพราะเกลียดพ่อเลี้ยว ท้ายที่สุดก็มาจมปลักอยู่กับบ้องกัญชาที่กระท่อมปลายนา ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นแรกที่ยายของมันให้
เลาะห์มันคุยนักคุยหนาว่า เพราะมันเป็นหลานชายคนแรก ยายจึงมอบที่นาเก่าแก่ผืนนี้ให้แก่มัน ส่วนกระท่อมนั้น ใครมาทำนาในละแวดใกล้เคียงนี้ก็มาพักพิงหุงข้าวปลากินได้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นที่ซุกหัวนอนของเลาะห์เอง
ได้เดชเดินจากระท่อมเพื่อนรัก ผ่าทุ่งนาจะเข้าไปในหมู่บ้าน ทุกครั้งที่ผ่านมาทางนี้ จะเหลือบมองไปที่ต้นตาล ซึ่งพ่อของมันตกลงมาและเสียชีวิต เมื่อตอนที่มันยังเป็นเด็กถูกพ่อบังคับให้เรียนอัล-กุรอานจบหัวใหญ่ 3 ครั้ง ไอ้เดชอ่าน อัล-กุรอานได้คล่องแล้ว สอนน้องๆ ได้ด้วย
ไอ้เดชยังจำได้ พ่อเคยบอกว่าเป็นมุสลิมอย่าห่างเหินอัล-กุรอาน ละหมด 5เวลา จงอ่านทุกๆ วัน หรือย่างน้อยที่สุด ก็อ่าน “ยาซีน” วันละ 1 ครั้ง และพยายามท่อง “ยาซีน” ให้จบด้วย เพราะท่านนบีเคยบอกว่า ถ้าไม่เป็นการลำบากสำหรับอุมมะห์ของท่าน ท่านจะสั่งให้พวกเขาท่อง “ยาซีน” ให้จำทุกคน
ไอ้เดชท่อง “ยาซีน” จำตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อของมันเป็นโต๊ะกอเต็บ และเป็นครูสอนอัล-กุรอานให้เด็กๆ ในหมู่บ้าน
เย๊าะ สอนลูกคนอื่นเขาให้เก่ง.. ลูกๆ ของเย๊าะก็ต้องเก่งด้วย...เดชอ่านอัล-กุรอานให้คล่องและท่องยาซีนให้จำ พ่อเคยพูดย้ำให้ไอ้เดชฟังเสมอๆ
“ครับอาเย๊าะ...” จำได้ว่ามันรับคำพ่อโดยไม่ลังเล
“...ฉันจะอ่านกุรอานให้เก่ง...ท่อง “ยาซีน” ให้จำ และจะอ่านฮาดียะห์ให้อาเย๊าะในกุโบร์ด้วย”
เมื่อตอนเป็นเด็ก ไอ้เดชไม่เข้าใจหรอกว่าเรื่องในกุโบร์นั้นเป็นอย่างไร เพราะได้ยินพ่อพูดบ่อยๆ ก็พูดตามด้วย เพิ่งจะมาเข้าใจเมื่อตอนโตขึ้นว่า เรื่องในกุโบร์นั้นคือ เรื่องหลังความตาย....
ไอ้เดชเดินกลับไปถึงหมู่บ้าน ตั้งใจว่าก่อนกลับไปที่บ้านจะแวะไปหาฮัจญีอาดัมหรือเว๊าะญีดัม เพื่อนของพ่อเสียหน่อย เพราะจะไปปรึกษาและสอบถามเรื่องลูกค้าที่ยังค้างเงินค่าของที่รับไปจากพ่อว่ามีใครบ้าง เวลานี้ไอ้เดชเข้าตาจนจริงๆ เงินไม่มี ทุนก็หมด จะทำงนต่อจากงานของพ่อก็ไม่ได้ เพราะรถกระบะเก่าๆ ที่พ่อเคยใช้ส่งลูกตาล น้ำตาลแว่น และสินค้าในหมู่บ้านให้แม่ค้าในตลาดก็ยังไม่ได้ชำระภาษี ซึ่งขาดไป 3 เดือนกว่าแล้ว จะขับออกไปก็กลัวตำรวจจับ แต่ถ้าไม่ทำงานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาเงินที่ไหนไปทำ พ.ร.บ. และชำระค่าภาษีรถยนต์
พวกแม่ค้าที่ยังเป็นหนี้ค้างคากันอยู่ก็ได้ที พอพ่อเสียก็หลบหน้าหลบตา จะตามทวง ไอ้เดชเองก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึงใคร และจะเริ่มต้นหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร
รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านของฮัจญีอาดัม เพราะเสียงทักของภรรยาเจ้าของบ้านดังขึ้น
“อ้าว...เดชไปไหนมา เที่ยงๆ อย่างนี้” ฮัจญะห์ลาตีฟะห์ทักทาย
“...จะมาหาเว๊าะญีละซิ เขาไม่อยู่หรอก ไปละหมาดมายัต ยังไม่กลับ มีอะไรสั่งฉันไว้ก็ได้” ฮัจยะห์ลาตีฟะห์ภรรยาฮัจญีอาดัม อาสาแข็งขันท่าทางโอบอ้อมอารี
“...เว๊าะญีไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรมาก” ไอ้เดชพูดออกไป แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ หลบตาลงมองดิน ....วันหลังฉันจะมาใหม่ ...ฝากสลามเว๊าะญีด้วย ไอ้เดชกล่าวลา
อินชาอัลลอฮ์...ฮัจญะห์ลาตีฟะห์รับคำ ฉันจะบอกให้ ...ไอ้เดช บอกมะด้วยนะว่าฉันฝากสลามถึงด้วย
เวลาแกจู้จี้จุกจิกไอ้เดชก็ไม่อยากจะเจอแม่เหมือนกันแหละ โดยเฉพาะวันนี้ มันยังไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เจอหน้าแม่เป็นต้องบ่นยาว 4-5 ชั่วโมงไม่จบแน่ เรื่องไม่ยอมเรียนต่อเรื่องหนึ่ง แล้วก้ไม่ทำงานเรื่องเป็นราวอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเจอเว๊าะญีดำ มันคงไม่เครียดอย่างนี้ เพราะไปหาแกทีไร ก็มักจะมีเรื่องให้ขำไม่จบเสมอ เวลาเจอหน้ากันก็ทักอย่างอารมณ์ดี เช่น
“เดชเอ๋ย...เอ็งอย่าเครียดนักซิวะ...เดี๋ยวแก่เร็วหาแฟนยากน่า...”
หรือไม่ก็ “นี่เดช...แกรู้ไหมว่า เพราะอะไรทุกวันนี้จึงมีคนเลวเพิ่มขึ้น... เพิ่มขึ้น”
ไอ้เดชพาซื่อ “เพราะอะไรหรือเว๊าะ...”
เว๊าะญีดำของมันทำท่าเจ้าเล่ห์ ยิ้มกว้าง แล้วกระเถิบเข้าไปกระซิบที่ริมหูไอ้เดชด้วยเสียงเบาๆ ได้ยินกันเพียงสองคนยังกับเป็นความลับเรื่องคอขาดบาดตาย
“ก็เพราะคอคนกับคอควายเหมือนกัน...”
ไอ้เดชยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก “คอคนกับคอควายเหมือนกันอย่างไรหรือเว๊าะ” มันจำเป็นต้องถามเพื่อให้เนื้อความกระจ่าง ชัดเจน
“ว้า...เอ็งไม่รู้รึ ก็เอ็งเรียนหนังสือหรือเปล่าว่ะ...” ฮัจญีอาดัมอวดภูมิหลอกเด็ก แล้วจาระไนต่อ "...เอ็งเห็นไหมว่า เวลาอ่านเขาอ่านว่า ค.ควายเข้านา ค.คนขึงขัง แต่พอเขียนเขาเอา ค.ควายมาแทน ค.คน คนเลยเสียศูนย์การทรงตัว ทำอะไรโง่ๆ เหมือนควายไปเลย...”
ไอ้เดชคิดว่าน่าจะมีส่วนเหมือนกันนะ เพราะเวลานี้สังคมขาดที่พึ่ง ผู้คนสับสน แยกแยะคนดี คนเลวไม่ออกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง ดูเหมือนพยายามที่สอดแทรกความเลวร้ายเข้ามาในสมอง และรุกรานจิตวิญญาณไม่ให้ได้อยู่อย่างสงบได้เลย สื่อลามก อนาจารเต็มเมือง ถ้าเราไม่ไปหามัน มันก็เข้ามาหาเราถึงในบ้าน
เวลาเปิดโทรทัศน์ดูเรื่องราวสาระน่ารู้ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องดูเรื่องบัดสีบัดเถลิง บทเลิฟซีน ฉากรักที่ดูดดื่ม และการทำ “ซินา” มันไม่ใช่เรื่องราวที่ดีๆ พอที่จะเอาเป็นแบบอย่างได้
อย่างเช่นนิทานสมัยก่อน พระเอก นางเอกจะต้องเป็นคนดี บริสุทธิ์ อดทน ตกทุกข์ได้ยาก ภายหลังก็ประสบความสำเร็จ สมหวัง ทำให้เป็นคติเตือนใจให้คนมุ่งมั่น อดทน ยอมลำบาก สร้างความดีงามได้บ้าง
ในหนังในละครทุกวันนี้ สอนเยาวชนให้รู้จักวิธีเล่นการพนัน รู้จักยี่ห้อของเหล้าชื่อดังราคาแพง บรรยายการพลอดรักและเรื่องผิดผัวผิดเมียกันจนเป็นเรื่องธรรมดา รวมถึงการถ่ายทอดเรื่องราวของชายหญิงที่ได้เสียกัน และท้องขึ้นมาก่อนแต่งมาเป็นข้ออ้าง และเหตุผล จนทำให้ทั้งคู่เป็นที่ยอมรับของครอบครัว และได้แต่งงานกันในบรรยากาศที่โอ่อ่าภูมิฐานและโรแมนติค และลูกก่อนสมรสก็ยังได้รับมรดกกองโตเป็นของรับขวัญจากปู่ย่าตายาย
เล่นให้จิตนาการกันอย่างนี้นี่เองที่ทำให้วัยรุ่นใจแตก ยอมทอดกายให้ชายเชยชม ก็เพื่อว่าจะได้มีข้อผูกพันนำไปสู่ชัยชนะในชีวิตการครองเรือน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้จบลงง่ายๆ อย่างนั้น
เพราะในความเป็นจริง พอรู้ว่าฝ่ายหญิงพลาดท่าท้องขึ้นมา ฝ่ายชายก็วิ่งหนีหางจุกตูด หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว หรืออย่างดีก็แค่สนับสนุนให้ผู้หญิงทำลายเลือดก้อนหนึ่งจากในอกของตนเองซะ... พ่อแม่ของฝ่ายชายรึจะมาใจดียอมรับลูกสะใภ้ใจง่าย...ง่ายๆ
น่าจะมีการแปรสภาพของสังคมที่เป็นจริงให้เป็นบนเรียนให้เยาวชนได้รับรู้บ้าง เช่นนางเอกถูกจับขณะกำลังทำแท้งอยู่ในคลินิกหมอเถื่อน และพระเอกถูกญาติฝ่ายหญิงกระทืบตายคาตีนอยู่ในส้วมสาธารณะ เพื่อเด็กๆ จะได้หวาดหวั่นกันบ้าง
จะมีสักกี่คนทำหนังทำละครเพื่อปลูกฝังคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงามให้กับสังคม และเยาวชนของชาติถูกมอมเมาด้วยอบายมุข.. และถูกผลักไสดุนดันให้ตกลงไปในหุบเหวของดงโลกีย์ร้อนแรง...อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
อ่านต่อตอนหน้า