กระจกร้าวบานนั้น
อัลฟาฏอนีย์
คืนนั้น เกือบทุกมุมบ้านของตำบลยือลาแปเงียบสงบ หงอยเหงา อากาศอบอ้าว แต่ระหว่างทางไปบ้านฮาชิม ยังมีคนเดินสวนกันไปมาตามทางแคบๆ ทั้งหญิงและชาย อาศัยไฟฉายที่ส่องแสงแวบวาบในมือ พอจะเห็นทางเลี้ยวลด ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นหญ้าสด เมื่อคนเหยียบย่ำบ่อยเข้าจึงกลายเป็นทางที่คดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย รอบๆ มีต้นเงาะหลายสิบต้นขึ้นเกะกะ นานๆ จะมีลมลู่ใบมะพร้าวให้เกิดเสียงวังเวงขึ้นมาสักครั้ง
ชาวบ้านที่มาเยี่ยมฮาชิมต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปตามถนัดนิสัย บ้างก็งง บ้างก็สงสารสุดจะประมาณ แต่โรคที่ฮาชิมเป็นมาตั้งแต่เดือนก่อนหาได้ทุเลาลงไม่ นับวันคอยแต่จะหนักขึ้น หมอบ้านหลายสิบคนแล้วที่มารักษา ให้หยูกยา สารพัดจะหาวิธีจับผี ไล่ผี บริกรรมคาถาอาคม ทำน้ำมนต์ ข้าวสารที่หมอสาดกราดห้อง แถมจับผีใส่ขวด ใส่หม้อถ่วงน้ำก็แล้ว ยังหงาย เพราะโรคของฮาชิมมิได้กระเตื้องดีขึ้นมาเลย
กากยอดไม้รากไม้ที่ต้มจนไม่มีกลิ่นทิ้งเกลื่อนใต้ถุนบ้านที่ยกพื้นสูง น้ำมนต์ซึ่งสกัดจากไม้จันทร์หอม พริก ผสมกันอย่างดี กรอกเข้าไปในปากของฮาชิมแก้วแล้วแก้วเล่า ท้องที่ป่องเหมือนครรภ์แฝดสี่ของเขากลับโตยิ่งกว่าเดิม
ส่วนกรือซง ภรรยาที่น่าสงสารนั้นเล่า ไก่ตัวเมียที่กกไข่อยู่ใต้ถุนก็เอาไปขายแล้ว เหลือเพียงไข่ที่กำลังรอวันเน่าอยู่ในเข่งผุๆ
ไก่พันธุ์ชนของอาลี เจ้าของเสียดายเป็นหนักหนาก็ขายไปแล้วเช่นกัน แพะแก่ตาเศร้าๆ ก็เปลี่ยนเจ้าของหลังจากที่ได้ขุนมันมาตั้งแต่เล็กๆ กับอีกจักรยานเก่าสนิมขึ้นเกรอะและโซ่ชอบหลุดอยู่เรื่อยนั้นก็เพิ่งขายไปเมื่อวานนี้เอง
กรือซงคิดว่าจะทำอย่างไรดีหนอ เพื่อจะหาเงินมารักษา ระยะนี้ฝนก็ตกทุกวัน ต้นยางก็เปียกปอน จะออกไปรับจ้างกรีดยางก็ไม่ได้ บางครั้งเธอนั่งแยกเขี้ยวดูฟันทองสามซี่ที่เปื้อนด้วยน้ำหมากนั่นแหละเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของตน
“เอาเหอะจะหมดแค่ไหนกูก็ยอม” เธอนั่งคิดเงียบๆ หน้ากระจกร้าวที่แขวนอยู่ตรงเสากลางบ้าน
“กรือซง...ซง...” เสียงฮาชิมขาดเป็นห้วงๆ
“โอย...โอย...ช่วย...ด้วย” เสียงของเขาเบาหวิวแทบไม่มีน้ำหนัก หน้าซีดเผือดเหมือนปลาติดแห ตาเหลืองปราศจากแวว ไม่เหมือนครั้งปกติ หนวดเครารุงรังคล้ายรังหมัดเหา
“ทำไม...อดทนหน่อย... โรคแบเซ็งจะต้องหายแน่” กรือซงได้แต่ปลอบใจ น้ำตาไหลรินจากขอบตาที่บวมเป่ง ก็ทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอนตามประสาคนแก่ที่ต้องพักผ่อนให้มาก ร่างกายก็ซูบผ่ายผอมเป็นธรรมดา
“แบเซ็ง...” เธอหยุดเพราะไม่แน่ใจ
“ซงคิดว่าไปรักษาที่โรงพยาบาลดีกว่า เราน่าจะลองทางนี้บ้าง” กรือซงออกความคิดเห็น มือป้ายน้ำตาที่ขังอยู่ตามรอยย่นของวัย
“พอ...พอ...ปล่อยให้กูตายอย่างนี้ดีกว่าที่จะไปรักษาถึงตานีโน่น แกไม่รู้หรือว่าเข็มฉีดเนื้อหนังกูไม่เข้า”
ฮาชิมหอบเป็นช่วงๆ จนหน้าท้องกระเพื่อมเหมือนคลื่นทะเล
“ปู่ทวดกูไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลยก็สบายดีนี่ ไม่เห็นต้องฉีดยาผ่าตัด” เขาค้านเสียงแข็งจนเห็นเส้นเอ็นที่ต้นนคอ ตาลุกวาวมองหลังคามุงจากที่มีหยากไย่เป็นม่านกั้น แล้วเริ่มครวญคราง “โอ๊ย...เจ็บ ซง ช่วย...ช่วยเอาน้ำมนต์ลูกท้องหน่อย อู๊ย แน่น...”
กรือซงหยิบขันน้ำมนต์ของหมอคลองขุดลูบท้องสามีไปมา ตัวเองปวกเปียกอ่อนเพลียเสียเต็มประดา จะหวังคนอื่นก็ไม่มี นอกจากอาลีลูกชายคนเดียวเท่านั้นที่เสมือนกับดวงแก้ว ขณะนี้ น้ำตาหลั่งไหลเป็นทางราวกับน้ำค้างที่ร่วงผล็อยจากเรียวใบ
“แบ...แบ...” กรือซงเรียก “...จะกินข้าวกับปลาดุกทอดไหม” เห็นสามีผอมจนเห็นกระดูกทำให้กรือซงกระวนกระวาย
“กูไม่กิน..ไม่อยากกิน...แน่น...” อาซิมเปล่งเสียงสั่นเครือ หัวใจเต้นช้าๆ เนื้อหนังกระตุกเป็นจังหวะตาเบิกกว้างเหมือนคางคกถูกพริก ริมฝีปากย้อยลงมาน้ำลายเริ่มหมาดทำท่าจะไหลเยิ้มทางมุมปาก
เพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมเยียนกลับไปด้วยความสนเท่ห์ว่า ฮาชิมถูกผีสิง หรือไม่ก็ถูกของของใครสักคนหนึ่ง แต่ก็สงสารท้องที่ป่องขึ้นทุกวันจนตัวเองรู้สึกอึดอัด
อ่านต่อฉบับหน้า..