พัฒนาการของเด็กต้องควบคู่ไปกับพัฒนาการทางด้านจิตใจ ซึ่งในส่วนนี้พ่อแม่มีความสำคัญอย่างที่สุด และเพื่อให้ลูกรักเติบโตมาพร้อมทุกด้าน ไม่รู้สึกเป็นเด็กขาดความอบอุ่นจนอาจจะเป็นปัญหาสังคมในอนาคต คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มเป็นพ่อแม่ที่แสนดี ตาม 7 วิธีที่เราอยากแนะนำดังต่อไปนี้เลย 1. ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดไม่มีใครกล้าปฎิเสธว่า เครื่องมือสื่อสารในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้าแบบนี้สามารถอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของเราได้หลายอย่าง แต่ต่อให้เทคโนโลยีจะเลิศเลอแค่ไหน ก็คงไม่มีค่าเท่าเจ้าตัวเล็กของคุณพ่อคุณแม่แน่ ๆ ฉะนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าลูก ควรทุ่มเทเวลาของคุณให้ลูกรักอย่างเต็มที่ เพราะลูกเองก็ต้องการความเอาใจใส่ของพ่อแม่อย่างเต็มร้อยเช่นกัน หรือถ้าคิดว่าจะอดใจไม่ให้วอกแวกกับเสียงเตือนจากโทรศัพท์ และเครื่องมือสื่อสารชนิดอื่นได้ เอาเป็นว่าปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดไปเลยก็ดีนะคะ เด็ก ๆ จะได้ไม่รู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว เมื่อคุณแม่มัวยุ่งอยู่กับโทรศัพท์
2. กำจัดอุปสรรคขัดขวางเวลาของครอบครัวไปซะบางครั้งอุปสรรคที่แย่งชิงความสนใจของคุณจากลูกรักก็ไม่ได้มีแค่เครื่องมือสื่อสารชนิดต่าง ๆ เท่านั้น แต่รวมไปถึงเพื่อนบ้านจอมจุ้น ที่มักจะมากดกริ่งหน้าบ้านอยู่บ่อย ๆ หรือแม้แต่กลุ่มเพื่อนที่ชอบแวะเวียนมาพูดคุยอยู่เสมอ ซึ่งก็แน่นอนว่าคุณก็ต้องละความสนใจจากเจ้าตัวน้อยไปรับแขกตามมารยาทเจ้าบ้านที่ดี แต่หากอยากเป็นคุณพ่อ คุณแม่แสนดีให้ลูกน้อยชื่นใจสักวัน ทั้งไม่อยากให้เขารู้สึกเหมือนถูกลดความสำคัญลงไป ก็อาจจะต้องงดรับแขก แล้วใช้เวลากับลูกรักอย่างเต็มที่จริง ๆ สักทีแล้วล่ะค่ะ ทั้งคุณและเจ้าตัวเล็กจะได้มีช่วงเวลาของพ่อแม่ลูกที่แสนสุขอย่างเต็มอิ่มร่วมกันด้วย
3. ให้เวลากับลูกรักอย่างเต็มที่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่ทำงานนอกบ้านด้วยกันทั้งคู่ คุณอาจจะสละเวลามาคลุกคลีกับลูกรักอย่างเต็มที่ได้ลำบากพอสมควร แต่เชื่อไหมคะว่า ถ้าคุณลองพักเบรกตัวเองจากทุกสิ่ง แล้วใช้เวลาอยู่กับลูกน้อยทั้งวันแบบจริง ๆ จัง ๆ สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือ ความสุขที่เรียบง่ายแต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งยังเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดจากทุกสรรพสิ่งที่แบกเอาไว้บนบ่าอยู่ทุกวันอีกต่างหาก ที่สำคัญเจ้าตัวเล็กก็จะรับรู้ได้ว่าตัวเองมีความสำคัญกับพ่อแม่แค่ไหนด้วย
4. วางแผนทำกิจกรรมสนุก ๆ ร่วมกันตามธรรมชาติของเด็ก ๆ เขามักจะตื่นเต้นกับกิจกรรมที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า สุขใจกับการคอยลุ้นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาใกล้ ๆ ดังนั้นถ้าคุณกำลังอยากเป็นสุดยอดคุณพ่อคุณแม่เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกรักบ้าง ก็ลองสัญญาว่าจะพาเขาไปเที่ยว หรือสัญญาจะทำกิจกรรมบางอย่างที่เขาสนใจร่วมกันในสุดสัปดาห์นี้ดูสิคะ รับรองเลยว่าเด็ก ๆ จะทำตัวน่ารักขึ้นอีกเยอะ และจะเฝ้านับถอยหลังให้ถึงวันสุดสัปดาห์อย่างใจจดใจจ่อ แต่ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าเบี้ยวสัญญาด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่ได้คงพลิกล็อกไปเป็นอีกแบบ ด้วยเพราะเด็ก ๆ คิดว่าพ่อแม่ไม่ใส่ใจคำสัญญาที่ให้เขาไว้เท่าที่ควร
5. โต้ตอบกับเขาเพื่อแสดงถึงความใส่ใจเด็กส่วนใหญ่มักจะชอบพูดคุย เล่านู้นนี่นั่นที่เกิดขึ้นในโรงเรียน หรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ที่เจอมาก็ดูเป็นประเด็นที่น่าหยิบมาพูดจ้อได้หมด ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่แทนที่จะรับฟังเงียบ ๆ คงดีกว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่จะร่วมวงสนทนากับเขา โดยซักถามเขากลับบ้าง เพื่อแสดงถึงการมีส่วนร่วมกับเรื่องที่เขากำลังโม้ให้ฟังอย่างตั้งใจ เด็ก ๆ จะได้มีความมั่นใจในการแสดงทัศนคติของเขาอย่างเต็มที่ และรู้สึกอบอุ่นที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสนใจเขาไม่ต่างจากเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน พร้อมกันนั้นคุณพ่อคุณแม่ยังถือโอกาสถามคำถามชี้นำ เป็นการเปิดประเด็นที่จะทำให้เขาแสดงความคิด ทัศนคติ และระดับสติปัญญาที่มีอยู่ได้อีกด้วยนะคะ
6. พูดคุยภาษาเดียวกันกับลูกสำหรับเด็กวัยกำลังหัดพูด เขาอาจจะพูดไม่ค่อยเป็นคำ หรือบางทีก็พูดภาษาทารกที่ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ฟังแทบไม่ออก ซึ่งปัญหานี้ก็แก้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่คุณใส่ใจฟังเขาพูดให้ดี และในขณะเดียวกันการพูดคุยกับลูกวัยกำลังหัดพูด ยังเป็นการฝึกทักษะการฟังให้คุณพ่อคุณแม่ได้อีกทางหนึ่งด้วยล่ะ แต่สำหรับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย คุณพ่อคุณแม่ก็ควรพูดคุยกับลูกรักอย่างสนิทสนม เพื่อให้เขารู้สึกสนิทใจ และกล้าปรึกษากับคุณพ่อคุณแม่ทุกเรื่องอย่างสะดวกใจ คราวนี้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรกับลูกรักก็ตาม ครอบครัวก็จะเป็นคนแรก ๆ ที่ลูกวิ่งเข้ามาปรึกษา
7. เต็มอิ่มกับช่วงเวลาแสนสำคัญถึงแม้ว่าในสายตาของพ่อและแม่จะเห็นว่าลูก ๆ เป็นเด็กน่ารักอยู่เสมอ แต่ช่วงเวลาไร้เดียงสาในวัยเด็กก็เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์แตกต่างจากช่วงวัยไหน ๆ ของเขา และเมื่อลูกรักเติบโตขึ้น ความน่ารักแบบเด็ก ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแนวไปอีกแบบ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแสนสำคัญของลูกรักเอาไว้ทุกนาทีอย่าให้พลาด เพราะเราไม่สามารถเรียกคืนเวลากลับไปยังวัยเด็กของลูกรักได้อีกต่อไป ทั้งนี้การเกาะติดชีวิตของลูกรักทุกก้าว ยังเป็นการแสดงตัวให้เขารู้ว่า คุณพ่อคุณแม่ยังอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม
ขอบคุณข้อมูล กระปุกดอทคอม